ชื่อพื้นเมือง
ชื่อบาลี ชื่อวิทยาศาสตร์ ชื่อสามัญ ชื่อวงศ์ ถิ่นกำเนิด สภาพนิเวศน์ การขยายพันธุ์ ประโยชน์ | ขุ (กาญจนบุรี), โคกแล้ะ(ละว้า-กาญจนบุรี), เจาะช๊อก,ช้อก(ชอง-จันทบุรี), หมักโม่ง (เงี้ยว-ภาคเหนือ), โตร๊ก(นครราชสีมา) เปา (มาเลย์-ภาคใต้), แป (ละว้า-เชียงใหม่) อมฺพ (อัม-พะ), อมฺโพ (อัม-โพ), เสตมฺโพ (เส-ตัม-โพ) Mangifera indica Linn. Mango Tree Anacardiaceaeมะม่วงเป็นไม้ดั้งเดิมแถบเอเชียเขตร้อนทั่วไป เช่น อินเดีย ไทย พม่า พบตามป่าทั่วๆไป และปลูกเป็นไม้ผล ตามบ้าน เพาะเมล็ด ติดตา ทาบกิ่ง ตอนกิ่ง เลี้ยงเนื้อเยื่อ ผลดิบช่วยระบายอ่อนๆ เนื้อในเมล็ดรักษาโรคท้องเดิน ยางจากต้นและผลดิบเป็นพิษกัดผิวหนัง ผลดิบ ผลสุก เป็นผลไม้และ ทำน้ำปานะ ผลดิบทำอาหารหวานคาว ใบอ่อนเป็นผักจิ้ม เนื้อไม้ใช้ก่อสร้าง |
มะม่วงในพุทธประวัติ
ครั้งก่อนได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับมะม่วงในศาสนาฮินดูเอาไว้ ในครั้งนี้จึงอยากจะยกเรื่องราวของมะม่วงที่ปรากฏในศาสนาพุทธมาไว้สักหน่อย เพื่อเน้นย้ำให้เห็นว่ามะม่วงนั้นเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตชาวอินเดียจริง ๆ ครับ
มะม่วงมีปรากฏในพุทธประวัติหลายครั้ง ในที่นี้จะขอยกมากล่าวไว้สัก 2 เรื่อง เรื่องแรกคือสวนอัมพวัน ซึ่งหมอชีวกโกมารภัจจ์ บรมครูแห่งแพทย์แผนไทยได้ถวายเป็นที่พำนักแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเหล่าสงฆ์สาวกทั้งปวง ทั้งนี้ด้วยตัวหมอชีวกฯ นั้นมีดำริว่าตนนั้นปรารถนาจะไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าวันละ 2-3 ครั้ง แต่ติดตรงที่พระเวฬุวันมหาวิหารที่พระเจ้าพิมพิสารทรงสร้างถวายแด่พระพุทธเจ้าเป็นที่พำนักนั้นอยู่ไกลจากที่พักของตน ไม่สะดวกแก่การเดินทางไปเฝ้านัก จึงดำริสร้างที่พักขึ้นในสวนมะม่วงของตนที่ได้รับพระราชทานมาจากพระเจ้าพิมพิสาร เพื่อถวายเป็นราชฐานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงขนามนามสวนมะม่วงนั้นว่าชีวกัมพวัน อันแปลว่าอัมพวัน (หรือสวนมะม่วง) ของหมอชีวกฯ ที่แห่งนี้ยังเป็นที่ที่หมอชีวกฯ รักษาแผลห้อเลือดที่เกิดจากสะเก็ดหินกระเด็นต้องพระองค์อีกด้วย ปัจจุบันยังคงมีซากพระวิหารตั้งอยู่เป็นหนึ่งในพุทธสถานที่พุทธศาสนิกชนเดินทางมาสักการะ
อีกเรื่องหนึ่งที่มะม่วงปรากฏในพุทธประวัติคือเรื่องการทำยมกปาฏิหาริย์ สืบเนื่องมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามภิกษุทั้งปวงแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ (โดยต้นเหตุมาจากการที่พระปิณโฑลภารทวาชได้กระทำปาฏิหาริย์เหาะไปนำบาตรทำจากแก่นไม้จันทน์สีแดงดั่งครั่งลงมาจากยอดไม้ไผ่) ทำให้เหล่าเดียรถีย์ต่างได้ใจป่าวประกาศท้าแข่งอิทธิปาฏิหาริย์กับองค์พระพุทธเจ้า ด้วยสำคัญผิดว่าพระพุทธองค์ไม่สามารถแสดงปาฏิหาริย์ใด ๆ ต่อหน้าสาธารณชนได้อีก พระองค์จึงมีพระราชเสาวนีย์ตอบกลับไปว่า ตนจะแสดงปาฏิหาริย์ที่ต้นมะม่วง เมื่อเหล่าเดียรถีย์ได้ฟังดังนั้นจึงทำการโค่นต้นมะม่วงทิ้งทั่วเมือง เพื่อมิให้พระองค์มีที่ใช้แสดงปาฏิหาริย์
เมื่อถึงกำหนดวันแสดงปาฏิหาริย์ (ขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 หรือวันอาสาฬหบูชา) พระองค์ทรงเสด็จออกบิณฑบาตเข้าเมือง ประจวบกับคนรักษาสวนของหลวงผู้หนึ่งชื่อนายคัณฑะได้นำผลมะม่วงสุกเข้าเมืองมาด้วยหมายใจจะนำไปถวายพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อได้มาพบพระพุทธองค์ก็บังเกิดความเลื่อมใสจึงได้ถวายมะม่วงผลนั้นให้เป็นทานแด่พระองค์ เมื่อพระองค์เสวยมะม่วงเสร็จก็มีรับสั่งให้นายคัณฑะนำเม็ดมะม่วงไปปลูก ณ จุดที่พบกัน เมื่อพระองค์รดน้ำล้างพระหัตถ์ลงไปยังเม็ดมะม่วงที่เพิ่งเพาะ ก็บังเกิดปาฏิหาริย์โดยเม็ดมะม่วงนั้นเติบโตเป็นต้นมะม่วงมีลูกสุกเต็มต้นในบัดดล ต้นมะม่วงนั้นได้รับนามว่าคัณฑามพฤกษ์ตามชื่อนายคัณฑะผู้ถวายมะม่วง หลังจากนั้นพระองค์ทรงแสดงปาฏิหาริย์ที่ต้นคัณฑามพฤกษ์นี้ ให้ชื่อ
ว่ายมกปาฏิหาริย์ หรือการทำปาฏิหาริย์ให้บังเกิดเป็นคู่ ๆ เนื่องจากพระองค์ทรงแสดงปาฏิหาริย์ที่เป็นคู่ตรงข้ามกัน อาทิ เนรมิตสายน้ำพุ่งออกจากพระวรกายส่วนบน พร้อมกับเนรมิตเปลวไฟออกจากพระวรกายส่วนล่าง เป็นต้น เมื่อพระองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์นี้เสร็จก็ทรงเสด็จสู่สวรรค์เพื่อโปรดพระพุทธมารดาต่อไป
ว่ายมกปาฏิหาริย์ หรือการทำปาฏิหาริย์ให้บังเกิดเป็นคู่ ๆ เนื่องจากพระองค์ทรง
พระสาวก นำพระพุทธองค์ไปพบหมอชีวก โกมารภัจจ์ ที่สวนมะม่วง ซึ่งสวนนี้ พระเจ้าพิมพิสารพระราชทานให้หมอชีวก กาลต่อมา หมอชีวกได้ถวายเป็นวัดสำหรับพระพุทธองค์และพระสงฆ์
มี นครโสเภณี (หญิงผู้ยังพระนครให้งาม) หรือหญิงงามเมืองนางหนึ่ง ชื่ออัมพปาลี เมืองไพศาลี แคว้นวัชชี มีความเลื่อมใสในพระศาสนา ได้ถวายสวนมะม่วงของเธอให้เป็นวัดที่ประทับและที่อยู่ของสงฆ์ (นางเป็นนครโสเภณีคนแรกที่สร้างวัดถวายพระพุทธองค์ บางที่ว่านางถวายสวนในช่วงไม่กี่วันก่อนพุทธปรินิพพาน บางที่ว่าถวายก่อนหน้านั้น นานมาแล้ว)
สวนมะม่วง อันเป็นวัดในพระศาสนามีชื่อเรียกอีกชื่อว่า สวนอัมพวนาราม หรือ อัมพวัน เนื่องจากมีหลายผู้ถวายจึงมักใส่ชื่อเจ้าของสวนไว้นำหน้า เช่น สวนมะม่วงของหมอชีวก เรียก ชีวกัมพวัน สวนที่นางอัมพปาลีถวายนั้นเรียกว่า สวนอัมพปาลีวัน
อีกครั้งหนึ่งคือ ครั้งเมื่อพระองค์อยู่ในเมืองสาวีตถี แคว้นโกศล ในวันเพ็ญกลางเดือน 8 ก่อนวันเข้าพรรษาหนึ่งวัน
พวกเดียรถีย์ท้าพระพุทธเจ้าแข่งปฏิหาริย์ที่โคนต้นมะม่วง เดียรถีย์ให้สาวกไปโค่นต้นมะม่วงเสีย แต่พระพุทธองค์ก็ทรงแสดงปาฏิหาริย์จนได้
โดยมีผู้นำผลมะม่วงสุกมาถวาย เมื่อฉันเสร็จแล้ว ทรงมีรับสั่งให้ปลูกเมล็ดลงดิน ทรงใช้น้ำที่ล้างพระหัตถ์รด ต้นมะม่วงเติบโตอย่างรวดเร็ว แตกกิ่งก้านไปสูงถึง 50 ศอก จนพระองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ที่โคนต้นมะม่วงได้
ยมกปาฏิหาริย์ คือ การแสดงสิ่งให้คนเห็นเป็นที่อัศจรรย์คู่ เช่น น้ำคู่ไฟ เป็นต้น
บางท่านว่าการแสดงยมกปาฏิหาริย์นี้ เป็นเรื่องที่นักเขียนในพระศาสนาเขียนขึ้นมาเพื่อให้มองพระพุทธองค์อย่างเทพเจ้า
มีพระสูตรที่ทรงเปรียบบุคคลเหมือนผลมะม่วง 4 ชนิด คือ อัมพสูตร
-บุคคลเปรียบเหมือนมะม่วงดิบแต่ผิวสุก (มีการก้าวไป ถอยกลับ เหลียวดู คู้เข้า เหยียดออก การครองสังฆาฎิ จีวร น่าเลื่อมใส แต่ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า "นี้ทุกข์ นี้สมุทัย นี้นิโรธ นี้มรรค)
-บุคคลเปรียบเหมือนมะม่วงสุกแต่ผิวดิบ คือกิริยาไม่น่าเลื่อมใส แต่รู้ชัดตามที่เป็นจริง
-บุคคลเปรียบเหมือนมะม่วงดิบ ผิวดิบ คือกิริยาไม่น่าเลื่อมใส และไม่รู้ชัดตามที่เป็นจริง
-บุคคลเปรียบเหมือนมะม่วงสุกผิวสุก คือกิริยาน่าเลื่อมใส และรู้ชัดตามที่เป็นจริง
พื้นที่ก่อนเตรียมการปลูก
![]() |
เตรียมพื้นทำสวนมะม่วง |
![]() |
เพิ่มคำอธิบายภาพ |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น